ของจริงรึภาพลวงตา
วันที่ 5 กันยายนที่ผ่านมา เป็นวันที่นักลงทุนต้องจดจำ เพราะมีสถิติใหม่เกิดขึ้นมากมาย คือเป็นวันที่หุ้นไทยพุ่งแรงที่สุดในโลก เงินบาทแข็งค่าที่สุดในเอเซีย ต่างชาติกลับมาซื้อหุ้นไทยมูลค่ากว่า 7.5 พันล้านบาท และดัชนีฯ สามารถกลับมายืนหนือ 1,400 จุดได้เป็นครั้งแรกในรอบ 5 เดือน ซึ่งต้องย้อนกลับไปนานถึง 4 ปี ถึงจะเห็นวันที่หุ้นไทยขึ้นแรงได้ขนาดนี้ และยังบวกแรงต่อเนื่องขึ้นมาอีกในวันทำการถัดไป
หลายคนคงมีคำถามว่า มันเกิดอะไรขึ้น เป็นของจริงที่บรรดานักลงทุนให้ความมั่นใจต่อต่อปัจจัยบวกใหม่ที่เกิดขึ้น ซึ่งก็คือการได้รัฐบาลชุดใหม่เข้ามาบริหารประเทศ ได้กองทุนวายุภักษ์ที่จะเริ่มเข้าลงทุนในตลาดหุ้นไทยตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคมนี้ เพื่อเป็นกลไกเสริมสร้างการออมและการลงทุน ตลอดจนเป็นการส่งเสริม สนับสนุนการพัฒนาตลาดทุน
รึเป็นแค่ภาพลวงตาที่เกิดขึ้นชั่วครั้งชั่วคราวเท่านั้น เพราะนอกเหนือจากปัจจัยดังกล่าวแล้ว ก็ไม่เห็นมีอะไรใหม่ๆ ที่เป็นตัวดึงดูดแบบมีนัยสำคัญเข้ามา
ช่วงตั้งแต่ประเทศไทยสามารถตั้งรัฐบาลจากการเลือกตั้งด้วยความพิสดารได้แล้วนั้น นักลงทุนต่างชาติพากันทิ้งความสนใจประเทศไทย จนมีศัพท์ที่นักลงทุนและนักธุรกิจไทยที่คร่ำหวอดอยู่ในภาคเอกชนมานานต้องตัวเย็นวาบเมื่อได้ยินคู่ค้าต่างชาติต่างก็พูดกันว่า เขา เซลไทยแลนด์ แล้ว
ดังนั้น เมื่อนักลงทุนต่างชาติคิดไปในทิศทางเดียวกันคือ ต้องเทขายหุ้นไทย แล้วนำเงินออกไปลงในประเทศอื่นที่ให้ผลตอบแทนที่ดีกว่าไทย มีภาพการเมืองที่มั่นคง จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่นักลงทุนต่างชาติต้องทำการเทขายหุ้นไทย
เหตุที่นักลงทุนต่างชาติจึงพากันเทิ้งหุ้นไทย เพราะการเมืองไม่มั่นคง พรรคใหญ่สุดจากการเลือกตั้งโดนยุบ นายกรัฐมนตรีถูกศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาความผิดจนต้องกระเด็นคกจากเก้าอี้ แม้จะได้นายกรัฐมนตีคนใหม่ รวมถึงคณะรัฐมนตรีชุดใหม่เข้ามาแล้ว แต่ก็ใช่ว่าจะสามารถเรียกความมั่นใจกลับคืนมาได้เต็ม 100% เพราะดูเหมือนจะมีคลื่นใต้น้ำคอยตามถล่มให้เกิดความไร้เสถียรอยู่ตลอดเวลา จึงไม่มีใครคิดอยากเข้ามาลงทุนในเมืองไทยกันอีก
อีกประเด็นที่สาคัญคือ ทุกวันนี้ความสามารถในการแข่งขันด้านการผลิตและการส่งออกของไทยสู้ใครเขาไม่ได้ จะปรับยังไงก็ยังหาวิธีแก้ไขกันไม่ได้ ไร้ซึ่งนวัตกรรมใหม่ๆ เข้ามาสร้างสรรความน่าสนใจ เพราะรัฐบาลนี้คิดทำอะไรต่ออะไรมั่วซั่วไปหมด หวังพึ่งพาแต่ภาคการท่องเที่ยวเพียงอย่างเดียว
ประเทศที่ประชาชนระดับล่างไม่มีทางหารายได้เพิ่มขึ้นได้แต่ต้องจมปลักอยู่ในกองหนี้จนหนี้ครัวเรือนสูงเกือบเท่า GDP ของไทย ถือว่าสูงมากที่สุดเมื่อเทียบกับประเทศในระดับพอๆกัน
อีกทั้งเมื่อตลาดทุนและตลาดเงินถูกต่างชาติถอยหนีออกไป ทำให้คนระดับเศรษฐีของไทยจำนวนไม่ใช่น้อยต้องเหงื่อไหลไคลย้อย บางรายถึงกับพยายามหาวิธีโกงให้รวย โดยการโกงผู้ถือหุ้น โกงแหล่งเงินที่สนับสนุนพวกเขาในตลาดหุ้นกู้หรือตลาดตราสารหนี้ มีมากรายที่หาเงินมาจ่ายค่าดอกเบี้ยไม่ได้ จนถึงขั้นต้องล้มเลิกธุรกิจและถูกฟ้องร้องให้ได้ยินกันถี่ขึ้น
ดังนั้น จงอย่าได้ชะล่าใจ ต้องมองให้ออกว่า ตลาดหุ้นที่ปรับตัวขึ้นแรงในช่วงที่ผ่านมา เป็นของจริงรึแค่ภาพลวงตาเท่านั้น
***************