PJW ขยายฐานธุรกิจกลุ่ม Healthcare
อัพเดทล่าสุด: 6 ธ.ค. 2024
76 ผู้เข้าชม
PJW เดินเกมรุก ปั้นธุรกิจ New S-curve กลุ่มธุรกิจ Healthcare สร้างรายได้เพิ่ม 25% มาร์จิ้นสูง หนุนอัตรากำไรขั้นต้นเพิ่มเป็น 20-23% พร้อมวางเป้าหมายสัดส่วนรายได้จากธุรกิจใหม่เพิ่มเป็น 1 ใน 3 ของพอร์ต วางเป้ารายได้ปี 68 โต 15%
นายวิวรรธน์ เหมมณฑารพ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ปัญจวัฒนาพลาสติก จำกัด (มหาชน) หรือ PJW เปิดเผยว่า ในช่วงที่ผ่านมาบริษัทมองหาธุรกิจที่เป็น New S-curve ใหม่ เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มทางธุรกิจ ทำให้ปัจจุบันบริษัทมีธุรกิจ 3 กลุ่ม ได้แก่ กลุ่มบรรจุภัณฑ์ กลุ่มงานชิ้นส่วนอุตสาหกรรมยานยนต์ และกลุ่มธุรกิจ Healthcare
ทั้งนี้ ด้วยธุรกิจ New S-curve ปรับตัวในทิศทางที่ดีขึ้น ส่งผลให้ประเมินภาพรวมการดำเนินงานในปี 2568 มีทิศทางเติบโตดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยคาดการอัตราการเติบโตของรายได้รวมเพิ่มขึ้น 15% เป็นผลมาจากกลุ่มธุรกิจใหม่ อย่างกลุ่มธุรกิจ Healthcare ประกอบด้วยกลุ่มธุรกิจที่บริษัทได้มีการลงทุนในช่วง 4-5 ปีที่ผ่านมา ได้แก่ กลุ่มงานบริการซักผ้าอุตสาหกรรมและกลุ่มวัสดุสิ้นเปลืองทางการแพทย์ โดยทั้ง 2 กลุ่มธุรกิจดังกล่าว เริ่มสร้างรายได้ให้บริษัท ผลักดันผลการดำเนินงานในปี 2568 เติบโตแบบก้าวกระโดด และคาดว่าจะมีแนวโน้มปรับตัวเพิ่มขึ้นต่อเนื่องในปี 2569 ดังนั้น ในอนาคตสัดส่วนรายได้จากกลุ่มธุรกิจใหม่จะเติบโตย่างมีนัยยะสำคัญ ประกอบกับกลุ่มธุรกิจดังกล่าวเป็นธุรกิจที่มีมาร์จิ้นสูง ซึ่งจะผลักดันให้ภาพรวมของอัตรากำไรของบริษัทปรับตัวดีขึ้น
จากปัจจัยดังกล่าว ทำให้ในปี 2568 PJW จะมีสัดส่วนรายได้จากกลุ่มธุรกิจ Healthcare อยู่ที่ระดับ 25% และในปี 2569 จะเพิ่มขึ้นเป็น 1 ใน 3 ของรายได้รวม เนื่องจากจะมีรายได้จากการจำหน่วยวัสดุสิ้นเปลืองทางการแพทย์ อาทิ ถุงน้ำยาล้างไตผ่านหน้าท้อง ซึ่งคาดว่าสร้างยอดขายประมาณ 500 ล้านบาทต่อปี
สำหรับกลุ่มงานบริการซักผ้าอุตสาหกรรม ซึ่งมีกลุ่มลูกค้าหลักมาจากโรงพยาบาล เช่น โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ อินเตอร์เนชั่นแนล โรงพยาบาลพระราม 9 โรงพยาบาลบีเอ็นเอช (BNH) และโรงพยาบาลศิริราช เป็นต้น ทำให้ปัจจุบันบริษัทมี Backlog ในมือแล้ว 360 ล้านบาท และจะทยอยรับรู้รายได้ตั้งแต่ปี 2567 ต่อเนื่องถึงปี 2568 ส่งผลให้บริษัทตั้งเป้ารายได้ในกลุ่มธุรกิจดังกล่าวในปี 2568 ที่ระดับ 600 ล้านบาท
ขณะที่กลุ่มวัสดุสิ้นเปลืองทางการแพทย์ ในปี 2572 จะเห็นสัดส่วนรายได้จากกลุ่มธุรกิจ Healthcare เพิ่มเป็น 50% ของพอร์ต จากการจำหน่ายวัสดุสิ้นเปลืองทางการแพทย์เพิ่มขึ้น 3 ผลิตภัณฑ์ ได้แก่ เครื่องให้ความชื้นหัวเตียง (Oxygen Humidifier) โดยบริษัทจะเป็นผู้ผลิตเพื่อทดแทนการนำเข้า และมีคุณสมบัติที่จะส่งออกไปในภูมิภาคอาเซียน โดยในปี 2568 บริษัทมีการทำตลาดในประเทศไทย และคาดว่าจะทยอยส่งออก เพื่อเจาะตลาดต่างประเทศในปี 2569 และสายยางสำหรับผู้ป่วยฟอกไต คาดว่าจะทำตลาดในปี 2568 และ ถุงน้ำยาล้างไตผ่านหน้าท้อง คาดปี 2569 จะสามารถจำหน่ายได้
"ในปี 2567 คาดว่าจะมีรายได้จากกลุ่มงานบริการซักผ้าอุตสาหกรรม ประมาณ 360 ล้านบาท และในปี 2568 รายได้จะเพิ่มขึ้นเกือบ 600 ล้านบาท ส่งผลให้รายได้จากกลุ่ม Healthcare แตะระดับ 700-800 ล้านบาท ส่งผลให้สัดส่วนรายได้ 60-70% มาจากกลุ่มงานบริการซักผ้าอุตสาหกรรม ขณะที่รายได้จากการขายผลิตภัณฑ์วัสดุสิ้นเปลืองทางการแพทย์ อยู่ที่ 30-40% โดยจะมีอัตรากำไรขั้นต้นของกลุ่ม Healthcare อยู่ในระดับที่สูงกว่ากลุ่มธุรกิจเดิม คือกลุ่มบรรจุภัณฑ์ และกลุ่มงานชิ้นส่วนอุตสาหกรรมยานยนต์ หรืออยู่ที่ระดับ 22-25% จากอัตรากำไรขั้นต้นรวมของบริษัทอยู่ที่ระดับ 18-20%"
ขณะเดียวกัน ในปี 2568 PJW มีแผนปรับ Portfolio โดยพอร์ตของธุรกิจใหม่จาก New S-curve จะมีสัดส่วนรายได้เข้ามาเป็น 25% ขณะที่อัตรากำไรขั้นต้นจะเติบโตจากเดิมที่เคยทำได้ระดับ 18-20% เพิ่มเป็น 20-23% ขณะที่รายได้ของบริษัทจะมีความมั่นคงมากขึ้น เนื่องจากกลุ่มธุรกิจ Healthcare จะเป็นกลุ่มที่สร้างรายได้แบบคงที่ นอกจากนี้ ในปี 2569 บริษัทเตรียมนำสินค้ากลุ่ม Healthcare เจาะตลาดต่างประเทศ
สำหรับกลุ่มบรรจุภัณฑ์ เป็นธุรกิจ Cash cow ซึ่งเป็นกลุ่มที่ยังทำกำไรได้อย่างสม่ำเสมอ ยังมีการเติบโตต่อเนื่อง ส่วนกลุ่มงานชิ้นส่วนอุตสาหกรรมยานยนต์ในปี 2567 มีการชะลอตัว แต่ในปี 2568 ยอดขายจากกลุ่มยานยนต์ของ PJW จะกลับมาดีขึ้น โดยเฉพาะในปี 2569 จะมีการเติบโตอย่างมีนัยสำคัญ จาก backlog ที่มีอยู่ในปัจจุบัน โดยล่าสุดบริษัทอยู่ระหว่างดำเนินการจัดทำแม่พิมพ์เพิ่ม
****************************
นายวิวรรธน์ เหมมณฑารพ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ปัญจวัฒนาพลาสติก จำกัด (มหาชน) หรือ PJW เปิดเผยว่า ในช่วงที่ผ่านมาบริษัทมองหาธุรกิจที่เป็น New S-curve ใหม่ เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มทางธุรกิจ ทำให้ปัจจุบันบริษัทมีธุรกิจ 3 กลุ่ม ได้แก่ กลุ่มบรรจุภัณฑ์ กลุ่มงานชิ้นส่วนอุตสาหกรรมยานยนต์ และกลุ่มธุรกิจ Healthcare
ทั้งนี้ ด้วยธุรกิจ New S-curve ปรับตัวในทิศทางที่ดีขึ้น ส่งผลให้ประเมินภาพรวมการดำเนินงานในปี 2568 มีทิศทางเติบโตดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยคาดการอัตราการเติบโตของรายได้รวมเพิ่มขึ้น 15% เป็นผลมาจากกลุ่มธุรกิจใหม่ อย่างกลุ่มธุรกิจ Healthcare ประกอบด้วยกลุ่มธุรกิจที่บริษัทได้มีการลงทุนในช่วง 4-5 ปีที่ผ่านมา ได้แก่ กลุ่มงานบริการซักผ้าอุตสาหกรรมและกลุ่มวัสดุสิ้นเปลืองทางการแพทย์ โดยทั้ง 2 กลุ่มธุรกิจดังกล่าว เริ่มสร้างรายได้ให้บริษัท ผลักดันผลการดำเนินงานในปี 2568 เติบโตแบบก้าวกระโดด และคาดว่าจะมีแนวโน้มปรับตัวเพิ่มขึ้นต่อเนื่องในปี 2569 ดังนั้น ในอนาคตสัดส่วนรายได้จากกลุ่มธุรกิจใหม่จะเติบโตย่างมีนัยยะสำคัญ ประกอบกับกลุ่มธุรกิจดังกล่าวเป็นธุรกิจที่มีมาร์จิ้นสูง ซึ่งจะผลักดันให้ภาพรวมของอัตรากำไรของบริษัทปรับตัวดีขึ้น
จากปัจจัยดังกล่าว ทำให้ในปี 2568 PJW จะมีสัดส่วนรายได้จากกลุ่มธุรกิจ Healthcare อยู่ที่ระดับ 25% และในปี 2569 จะเพิ่มขึ้นเป็น 1 ใน 3 ของรายได้รวม เนื่องจากจะมีรายได้จากการจำหน่วยวัสดุสิ้นเปลืองทางการแพทย์ อาทิ ถุงน้ำยาล้างไตผ่านหน้าท้อง ซึ่งคาดว่าสร้างยอดขายประมาณ 500 ล้านบาทต่อปี
สำหรับกลุ่มงานบริการซักผ้าอุตสาหกรรม ซึ่งมีกลุ่มลูกค้าหลักมาจากโรงพยาบาล เช่น โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ อินเตอร์เนชั่นแนล โรงพยาบาลพระราม 9 โรงพยาบาลบีเอ็นเอช (BNH) และโรงพยาบาลศิริราช เป็นต้น ทำให้ปัจจุบันบริษัทมี Backlog ในมือแล้ว 360 ล้านบาท และจะทยอยรับรู้รายได้ตั้งแต่ปี 2567 ต่อเนื่องถึงปี 2568 ส่งผลให้บริษัทตั้งเป้ารายได้ในกลุ่มธุรกิจดังกล่าวในปี 2568 ที่ระดับ 600 ล้านบาท
ขณะที่กลุ่มวัสดุสิ้นเปลืองทางการแพทย์ ในปี 2572 จะเห็นสัดส่วนรายได้จากกลุ่มธุรกิจ Healthcare เพิ่มเป็น 50% ของพอร์ต จากการจำหน่ายวัสดุสิ้นเปลืองทางการแพทย์เพิ่มขึ้น 3 ผลิตภัณฑ์ ได้แก่ เครื่องให้ความชื้นหัวเตียง (Oxygen Humidifier) โดยบริษัทจะเป็นผู้ผลิตเพื่อทดแทนการนำเข้า และมีคุณสมบัติที่จะส่งออกไปในภูมิภาคอาเซียน โดยในปี 2568 บริษัทมีการทำตลาดในประเทศไทย และคาดว่าจะทยอยส่งออก เพื่อเจาะตลาดต่างประเทศในปี 2569 และสายยางสำหรับผู้ป่วยฟอกไต คาดว่าจะทำตลาดในปี 2568 และ ถุงน้ำยาล้างไตผ่านหน้าท้อง คาดปี 2569 จะสามารถจำหน่ายได้
"ในปี 2567 คาดว่าจะมีรายได้จากกลุ่มงานบริการซักผ้าอุตสาหกรรม ประมาณ 360 ล้านบาท และในปี 2568 รายได้จะเพิ่มขึ้นเกือบ 600 ล้านบาท ส่งผลให้รายได้จากกลุ่ม Healthcare แตะระดับ 700-800 ล้านบาท ส่งผลให้สัดส่วนรายได้ 60-70% มาจากกลุ่มงานบริการซักผ้าอุตสาหกรรม ขณะที่รายได้จากการขายผลิตภัณฑ์วัสดุสิ้นเปลืองทางการแพทย์ อยู่ที่ 30-40% โดยจะมีอัตรากำไรขั้นต้นของกลุ่ม Healthcare อยู่ในระดับที่สูงกว่ากลุ่มธุรกิจเดิม คือกลุ่มบรรจุภัณฑ์ และกลุ่มงานชิ้นส่วนอุตสาหกรรมยานยนต์ หรืออยู่ที่ระดับ 22-25% จากอัตรากำไรขั้นต้นรวมของบริษัทอยู่ที่ระดับ 18-20%"
ขณะเดียวกัน ในปี 2568 PJW มีแผนปรับ Portfolio โดยพอร์ตของธุรกิจใหม่จาก New S-curve จะมีสัดส่วนรายได้เข้ามาเป็น 25% ขณะที่อัตรากำไรขั้นต้นจะเติบโตจากเดิมที่เคยทำได้ระดับ 18-20% เพิ่มเป็น 20-23% ขณะที่รายได้ของบริษัทจะมีความมั่นคงมากขึ้น เนื่องจากกลุ่มธุรกิจ Healthcare จะเป็นกลุ่มที่สร้างรายได้แบบคงที่ นอกจากนี้ ในปี 2569 บริษัทเตรียมนำสินค้ากลุ่ม Healthcare เจาะตลาดต่างประเทศ
สำหรับกลุ่มบรรจุภัณฑ์ เป็นธุรกิจ Cash cow ซึ่งเป็นกลุ่มที่ยังทำกำไรได้อย่างสม่ำเสมอ ยังมีการเติบโตต่อเนื่อง ส่วนกลุ่มงานชิ้นส่วนอุตสาหกรรมยานยนต์ในปี 2567 มีการชะลอตัว แต่ในปี 2568 ยอดขายจากกลุ่มยานยนต์ของ PJW จะกลับมาดีขึ้น โดยเฉพาะในปี 2569 จะมีการเติบโตอย่างมีนัยสำคัญ จาก backlog ที่มีอยู่ในปัจจุบัน โดยล่าสุดบริษัทอยู่ระหว่างดำเนินการจัดทำแม่พิมพ์เพิ่ม
****************************
บทความที่เกี่ยวข้อง
AMA ประเมินธุรกิจโลจิสติกส์ยังคงเติบโตต่อเนื่อง ตั้งเป้ารายได้ปีนี้โต 10% จากปีก่อน จากธุรกิจรถขนส่งสินค้าขาขึ้น ดีมานด์ลูกค้าพุ่ง ทั้งลูกค้าหลักและรายใหม่ พร้อมมองหาโอกาสทางธุรกิจใหม่ เน้นโลจิสติกส์รถขนส่งสินค้าแบบควบคุมอุณหภูมิ คลังสินค้า รวมทั้งโดรน มุ่งสร้างโอกาสการเติบโตอย่างยั่งยืน
4 ก.พ. 2025
JR การันตีผลการดำเนินงานปี 2568 ยังสามารถเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง หลังเดินหน้าสานต่อกลยุทธ์รับงาน Quick Win และ Oil & Gas พร้อมเดินหน้าประมูลงานโครงการใหม่ เติม Backlog จากปัจจุบันอยู่ที่ 7,964 ล้านบาท หนุนผลงานในช่วง 1-3 ปีข้างหน้า เติบโตอย่างแข็งแกร่งและยั่งยืน
4 ก.พ. 2025
TPOLY เตรียมออกหุ้นกู้วงเงินไม่เกิน 360 ล้านบาท อายุ 2 ปี 3 เดือน ชูอัตราดอกเบี้ย 7.15% ต่อปี กำหนดจ่ายดอกเบี้ยทุก 3 เดือน คาดเปิดจองซื้อวันที่ 4-6 มีนาคมนี้ โดยได้จัดอันดับความน่าเชื่อถือที่ระดับ BB+ มั่นใจนักลงทุนให้ความสนใจ จากแผนธุรกิจระยะยาวที่มุ่งเน้นสร้างผลงานอย่างยั่งยืน
4 ก.พ. 2025