เชียร์ซื้อ COCOCO เคาะเป้า 15 บาท
อัพเดทล่าสุด: 28 ม.ค. 2025
83 ผู้เข้าชม
COCOCO รุกขยายฐานการผลิต ทุ่มงบจัดตั้งบริษัทย่อย "Novococonut" ประเทศฟิลิปปินส์ จัดตั้งโรงงานผลิตสินค้ากลุ่มผลิตภัณฑ์กะทิ รองรับคำสั่งซื้อที่เพิ่มขึ้น เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน พร้อมบุกสหรัฐฯ ยุโรป เดินหน้าเพิ่มยอดขาย ด้านโบรกฯ มองช่วยลดความผันผวนต้นทุนราคามะพร้าว ส่งผลให้ต้นทุนรวมต่ำลง พร้อมประเมินผลงานทั้งปี 2568 คาดกำไรสุทธิอยู่ที่ 875 ล้าน พร้อมให้คำแนะนำ "ซื้อ" ราคาเป้าหมาย 15 บาท/หุ้น
ดร.วรวัฒน์ ชิ้นปิ่นเกลียว ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการ บริษัท ไทย โคโคนัท จำกัด (มหาชน) หรือ COCOCO เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทมีมติอนุมัติโครงการลงทุนในประเทศฟิลิปินส์ มูลค่าประมาณ 430 ล้านบาท เพื่อรองรับการผลิตสินค้ากลุ่มผลิตภัณฑ์กะทิ ให้สอดคล้องกับกำลังผลิตที่เพิ่มขึ้น และตอบสนองต่อยอดคำสั่งซื้อที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องทั้งในปัจจุบันและอนาคต
ทั้งนี้ ภายหลังการลงทุนโครงการดังกล่าว จะทำให้กำลังการผลิตสูงสุดของผลิตภัณฑ์กะทิเพิ่มขึ้นจากเดิม 99,000 ตันต่อปี เป็นประมาณ 155,000 ตันต่อปี ซึ่งการตัดสินใจลงทุนครั้งนี้ เพื่อนับสนุนต่อการขยายยอดขายของบริษัทในสหรัฐฯ และยุโรป ให้สามารถแข่งขันได้ ซึ่งที่สหรัฐฯ และยุโรปเป็นตลาดที่มีศักยภาพในการเติบโตสูง โดยการขยายกำลังการผลิตครั้งนื้จะส่งผลเชิงบวกต่อการเติบโตของธุรกิจ
สำหรับแผนงานดังกล่าว บริษัทจะดำเนินการลงทุนในประเทศฟิลิปปินส์ผ่านบริษัทย่อยที่จะจดทะเบียนจัดตั้งขึ้นใหม่ ภายใต้ชื่อ Novococonut ซึ่งได้มีการทำสัญญาเช่าพื้นที่ระยะยาวเป็นระยะเวลา 25 ปี ใน Anflo Industrial Estate (AIE) เพื่อก่อสร้างอาคารโรงงานสำหรับไลน์การผลิต ผลิตภัณฑ์กะทิและส่งออกสินค้าดังกล่าวให้แก่ลูกค้าของบริษัท รวมถึงลงทุนในอาคาร เครื่องจักร และระบบสาธารณูปโภคต่างๆ โดยคาดว่าการก่อสร้างอาคารโรงงานและการติดตั้งเครื่องจักรจะแล้วเสร็จและเริ่มเปิดดำเนินการผลิตได้ประมาณไตรมาสที่ 1/69 และเริ่มรับรู้รายได้เชิงพาณิชย์
"โครงการลงทุนในประเทศฟิลิปินส์ จะทำให้บริษัทสามารถเพิ่มประสิทธิภาพในการลดต้นทุนการผลิต เนื่องจากการลงทุนในประเทศฟิลิปปินส์ ช่วยให้สามารถเข้าถึงแหล่งผลิตมะพร้าวที่มีต้นทุนต่ำ สามารถควบคุมต้นทุนได้ดีขึ้น ช่วยเสริมสร้างศักยภาพในการแข่งขัน เนื่องจากสามารถใช้สิทธิประโยชน์ทางการค้าในกรอบความร่วมมือต่างๆ เช่น ASEAN Free Trade Area (AFTA) และบริษัทมีแผนให้บริษัทย่อยของบริษัทที่จะจดทะเบียนจัดตั้งขึ้นใหม่ขอรับสิทธิประโยชน์จากสิทธิพิเศษในเขตเศรษฐกิจพิเศษ (PEZA) ตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขของประเทศฟิลิปปินส์ ซึ่งหากได้รับการอนุมัติดังกล่าวจะทำให้บริษัทสามารถใช้ประโยชน์จากจากสิทธิพิเศษในเขตเศรษฐกิจพิเศษ (PEZA) เช่น การยกเว้นภาษีนำเข้าอุปกรณ์ การลดภาษีเงินได้นิติบุคคล และการสนับสนุนอื่นๆ"
นอกจากนี้ การลงทุนตั้งโรงงานในประเทศฟิลิปปินส์เป็นการเปิดโอกาสให้บริษัทสามารถนำส่งวัถตุดิบน้ำมะพร้าวกลับมายังประเทศไทย ซึ่งจะช่วยลดต้นทุนวัตถุดิบ เสริมสร้างขีดความสามารถทางการแข่งขัน และเพิ่มโอกาสในการขยายตลาดทั้งในประเทศและต่างประเทศ โดยการเข้าทำรายการครั้งนี้ บริษัทจะใช้แหล่งเงินทุนจากการกู้ยืมสถาบันการเงินสัดส่วน 90% และกระแสเงินสดภายในบริษัท สัดส่วน 10% โดยคาดว่าจะสามารถจดทะเบียนจัดตั้งแล้วเสร็จภายในไตรมาส 1/68 ซึ่งบริษัทเป็นผู้ถือหุ้นในสัดส่วน 100%
"การลงทุนในฟิลิปปินส์เป็นการเปิดโอกาสให้ COCOCO ขยายการเติบโตทางธุรกิจ เนื่องจากมองว่าเป็นการลงทุนที่เหมาะสมกับดีมานด์ที่เพิ่มขึ้น ทำให้ COCOCO มั่นใจว่าเป็นการลงทุนที่จะสร้างผลตอบแทนที่ดีในอนาคตให้กับผู้ถือหุ้น และจะช่วยขยายการเติบโต โดยคาดว่าจะสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับบริษัทได้ในอนาคต ด้วยกลยุทธ์เหล่านี้ บริษัทจะสามารถสร้างสมดุลระหว่างการลดต้นทุนและการรักษาคุณภาพสินค้า เพื่อให้สามารถแข่งขันในตลาดระดับโลกได้ สะท้อนมายังผลการดำเนินงานที่คาดมีแนวโน้มเติบโตดีในอนาคต" ดร.วรวัฒน์ กล่าว
ขณะที่นักวิเคราะห์ บริษัทหลักทรัพย์ดาโอ (ประเทศไทย) ระบุว่า มีมุมมองเป็นบวกต่อประเด็นที่ COCOCO อนุมัติโครงการลงทุนในประเทศฟิลิปปินส์ ซึ่งจะช่วยให้สามารถลดความผันผวนต้นทุนราคามะพร้าวได้ และต้นทุนรวมที่ต่ำลง พร้อมกับตอบสนอง demand ความต้องการสินค้าได้ดีขึ้น ซึ่งจะทำให้ margin ดีขึ้น อย่างไรก็ตาม คาดกำไรปกติงวดไตรมาส 4/67 อ่อนตัวลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อนและไตรมาสก่อน จากต้นทุนมะพร้าวที่สูงขึ้น โดยปัจจุบันประเมินกำไรสุทธิปี 2567 และ 2568 ที่ 875 และ 1,157 ล้านบาท เติบโต 71% และ 32%จากปีก่อนตามลำกับ ทำให้การลงทุนในหุ้น COCOCO ยังตคงให้คำแนะนำ "ซื้อ" โดยมีราคาเป้าหมายที่ที่หุ้น 15.00 บาท
*****************************
ดร.วรวัฒน์ ชิ้นปิ่นเกลียว ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการ บริษัท ไทย โคโคนัท จำกัด (มหาชน) หรือ COCOCO เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทมีมติอนุมัติโครงการลงทุนในประเทศฟิลิปินส์ มูลค่าประมาณ 430 ล้านบาท เพื่อรองรับการผลิตสินค้ากลุ่มผลิตภัณฑ์กะทิ ให้สอดคล้องกับกำลังผลิตที่เพิ่มขึ้น และตอบสนองต่อยอดคำสั่งซื้อที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องทั้งในปัจจุบันและอนาคต
ทั้งนี้ ภายหลังการลงทุนโครงการดังกล่าว จะทำให้กำลังการผลิตสูงสุดของผลิตภัณฑ์กะทิเพิ่มขึ้นจากเดิม 99,000 ตันต่อปี เป็นประมาณ 155,000 ตันต่อปี ซึ่งการตัดสินใจลงทุนครั้งนี้ เพื่อนับสนุนต่อการขยายยอดขายของบริษัทในสหรัฐฯ และยุโรป ให้สามารถแข่งขันได้ ซึ่งที่สหรัฐฯ และยุโรปเป็นตลาดที่มีศักยภาพในการเติบโตสูง โดยการขยายกำลังการผลิตครั้งนื้จะส่งผลเชิงบวกต่อการเติบโตของธุรกิจ
สำหรับแผนงานดังกล่าว บริษัทจะดำเนินการลงทุนในประเทศฟิลิปปินส์ผ่านบริษัทย่อยที่จะจดทะเบียนจัดตั้งขึ้นใหม่ ภายใต้ชื่อ Novococonut ซึ่งได้มีการทำสัญญาเช่าพื้นที่ระยะยาวเป็นระยะเวลา 25 ปี ใน Anflo Industrial Estate (AIE) เพื่อก่อสร้างอาคารโรงงานสำหรับไลน์การผลิต ผลิตภัณฑ์กะทิและส่งออกสินค้าดังกล่าวให้แก่ลูกค้าของบริษัท รวมถึงลงทุนในอาคาร เครื่องจักร และระบบสาธารณูปโภคต่างๆ โดยคาดว่าการก่อสร้างอาคารโรงงานและการติดตั้งเครื่องจักรจะแล้วเสร็จและเริ่มเปิดดำเนินการผลิตได้ประมาณไตรมาสที่ 1/69 และเริ่มรับรู้รายได้เชิงพาณิชย์
"โครงการลงทุนในประเทศฟิลิปินส์ จะทำให้บริษัทสามารถเพิ่มประสิทธิภาพในการลดต้นทุนการผลิต เนื่องจากการลงทุนในประเทศฟิลิปปินส์ ช่วยให้สามารถเข้าถึงแหล่งผลิตมะพร้าวที่มีต้นทุนต่ำ สามารถควบคุมต้นทุนได้ดีขึ้น ช่วยเสริมสร้างศักยภาพในการแข่งขัน เนื่องจากสามารถใช้สิทธิประโยชน์ทางการค้าในกรอบความร่วมมือต่างๆ เช่น ASEAN Free Trade Area (AFTA) และบริษัทมีแผนให้บริษัทย่อยของบริษัทที่จะจดทะเบียนจัดตั้งขึ้นใหม่ขอรับสิทธิประโยชน์จากสิทธิพิเศษในเขตเศรษฐกิจพิเศษ (PEZA) ตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขของประเทศฟิลิปปินส์ ซึ่งหากได้รับการอนุมัติดังกล่าวจะทำให้บริษัทสามารถใช้ประโยชน์จากจากสิทธิพิเศษในเขตเศรษฐกิจพิเศษ (PEZA) เช่น การยกเว้นภาษีนำเข้าอุปกรณ์ การลดภาษีเงินได้นิติบุคคล และการสนับสนุนอื่นๆ"
นอกจากนี้ การลงทุนตั้งโรงงานในประเทศฟิลิปปินส์เป็นการเปิดโอกาสให้บริษัทสามารถนำส่งวัถตุดิบน้ำมะพร้าวกลับมายังประเทศไทย ซึ่งจะช่วยลดต้นทุนวัตถุดิบ เสริมสร้างขีดความสามารถทางการแข่งขัน และเพิ่มโอกาสในการขยายตลาดทั้งในประเทศและต่างประเทศ โดยการเข้าทำรายการครั้งนี้ บริษัทจะใช้แหล่งเงินทุนจากการกู้ยืมสถาบันการเงินสัดส่วน 90% และกระแสเงินสดภายในบริษัท สัดส่วน 10% โดยคาดว่าจะสามารถจดทะเบียนจัดตั้งแล้วเสร็จภายในไตรมาส 1/68 ซึ่งบริษัทเป็นผู้ถือหุ้นในสัดส่วน 100%
"การลงทุนในฟิลิปปินส์เป็นการเปิดโอกาสให้ COCOCO ขยายการเติบโตทางธุรกิจ เนื่องจากมองว่าเป็นการลงทุนที่เหมาะสมกับดีมานด์ที่เพิ่มขึ้น ทำให้ COCOCO มั่นใจว่าเป็นการลงทุนที่จะสร้างผลตอบแทนที่ดีในอนาคตให้กับผู้ถือหุ้น และจะช่วยขยายการเติบโต โดยคาดว่าจะสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับบริษัทได้ในอนาคต ด้วยกลยุทธ์เหล่านี้ บริษัทจะสามารถสร้างสมดุลระหว่างการลดต้นทุนและการรักษาคุณภาพสินค้า เพื่อให้สามารถแข่งขันในตลาดระดับโลกได้ สะท้อนมายังผลการดำเนินงานที่คาดมีแนวโน้มเติบโตดีในอนาคต" ดร.วรวัฒน์ กล่าว
ขณะที่นักวิเคราะห์ บริษัทหลักทรัพย์ดาโอ (ประเทศไทย) ระบุว่า มีมุมมองเป็นบวกต่อประเด็นที่ COCOCO อนุมัติโครงการลงทุนในประเทศฟิลิปปินส์ ซึ่งจะช่วยให้สามารถลดความผันผวนต้นทุนราคามะพร้าวได้ และต้นทุนรวมที่ต่ำลง พร้อมกับตอบสนอง demand ความต้องการสินค้าได้ดีขึ้น ซึ่งจะทำให้ margin ดีขึ้น อย่างไรก็ตาม คาดกำไรปกติงวดไตรมาส 4/67 อ่อนตัวลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อนและไตรมาสก่อน จากต้นทุนมะพร้าวที่สูงขึ้น โดยปัจจุบันประเมินกำไรสุทธิปี 2567 และ 2568 ที่ 875 และ 1,157 ล้านบาท เติบโต 71% และ 32%จากปีก่อนตามลำกับ ทำให้การลงทุนในหุ้น COCOCO ยังตคงให้คำแนะนำ "ซื้อ" โดยมีราคาเป้าหมายที่ที่หุ้น 15.00 บาท
*****************************
บทความที่เกี่ยวข้อง
SNPS เตรียมจัดประชุมผู้ถือหุ้นขออนุมัติการจ่ายเงินปันผลงวดปี 2567 ในอัตรา 0.13 บาทต่อหุ้น กำหนดขึ้นเครื่องหมาย XD วันที่ 21 มีนาคมนี้ หลังทำผลงานโตทะลุเป้า พร้อมพิจารณาอนุมัติแต่งตั้งกรรมการแทนกรรมการที่ครบกําหนดออกจากตําแหน่งตามวาระ
13 มี.ค. 2025
GBX เปิดเกมรุกปี 2568 ตั้งเป้าการเติบโตทางธุรกิจ 10% เล็งขยายธุรกิจบริหารความมั่งคั่ง เพิ่ม AUM แตะ 1 หมื่นล้านบาท พร้อมพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ ทั้ง DRx และ Structured Note รองรับนักลงทุนทุกกลุ่ม รวมถึงศึกษาแนวทางพัฒนา Gold Link Note เพื่อเพิ่มโอกาสการลงทุนในอนาคต
13 มี.ค. 2025
COCOCO ยกทัพสินค้าเปิดตลาดแดนภารตะ เข้าร่วมงานแสดงสินค้า AAHAR - International & Hospitality Fair 2025 งานแสดงสินค้านานาชาติด้านอาหารและบริการในรูปแบบ B2B ที่ใหญ่ที่สุดของประเทศอินเดีย ระบุเพื่อเป็นการขยายโอกาสทางการตลาด รับออเดอร์ใหม่ที่เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง
13 มี.ค. 2025